วัดแม่ฮ้อยเงิน ตั้งอยู่เลขที่ ๑๗๗ หมู่ที่ตำบลแม่ฮ้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการแต่งตั้ง (หลักฐานหาย) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (หลักฐานหาย) มีเอกสารที่ดินเป็นโฉนดเลขที่ ๒๒๘๔๐ เล่มที่๒๒๙ ออก ณ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๓ มีเนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ๓ งาน ๓๓ ตารางวา
เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่กว่าวัดอื่นๆ ในตำบลนี้ประวัติการสร้างนั้น ไม่มีลายลักษณ์อักษรจารึกไว้ หรือมีหลักฐานอื่นใดที่พอจะสืบทราบได้ว่ามีการก่อสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ตามที่สันนิษฐาน ดูแล้วลักษณะสถาปัตยกรรมละม้ายคล้าย ไปทางศิลปะพม่าเป็นส่วนใหญ่ และเพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะไปเป็นแบบไทยล้านนาประยุค และยังสร้างเป็นแบบศิลปะแบบพม่าอยู่ในช่วงหลังๆ มาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ อีกก็คือองค์พระธาตุที่ยังมีอิทธิพลของพม่า หลงเหลือมาปรากฏให้เห็นอยู่ถึงทุกวันนี้ และที่แล้วๆมาก็เป็นการก่อสร้างเอกลักษณ์แบบเดิมมาให้มีการต่อเนื่องมาจนถึงที่สุด โดยเท่าที่ทราบสืบมาแม้แต่นายช่างที่ก่อสร้างก็ยังเป็นเชื้อสายทางพม่าอยู่จนถึงปีพ.ศ. ๒๔๖๗ แล้วจึงค่อยๆ มาเป็นนายช่างชาวพื้นเมืองและก็เป็นการเริ่มเปลี่ยนแปลงของเก่า ให้หมดสิ้นไปด้วยตนเอง
“วัดแม่ฮ้อยเงิน”ตามที่มีผู้เล่าสืบต่อกันมา ว่าได้สร้างขึ้นมาบนฝั่งแม่น้ำห้วยแม่โป่ง ตรงช่วงที่เรียกกันว่าท่าเดื่อด้วยมีต้นเดื่อขึ้นอยู่บนทางท่าน้ำนั้น และเข้าใจว่าคงจะมีผู้คนยกย้ายเข้ามาอยู่บนที่น้ำข้างต้นเดื่อนี้ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๐๖ –๒๓๑๒ ซึ่งเป็นช่วงที่ทางการพม่าปกครองเชียงใหม่ อยู่ในเวลานั้นกำลังเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์วัฒนธรรมต่างๆ แบบล้านนา ให้เป็นแบบพม่าด้วยกำลังฮึกเหิมที่ สามารถถล่มทำลายกรุงศรีอยุธยาลงได้ใหม่ๆ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้นก็เลยถือโอกาสคิดบัญชีที่ตกค้างกับผู้คนชาวล้านนาที่ตกอยู่ใต้การปกครองของพม่ามาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๑๐๑ แต่ทางกรุงอังวะพึ่งมารู้สึกตัวว่าที่แท้ก็ได้แต่แผ่นดิน หาได้จิตใจผู้คนชาวล้านนาด้วยไม่ ด้วยยังมีการแบ่งแยกเรียกขานกันว่า “เป็นคนม่าน (พม่า)” กับ “คนเมือง” อยู่ตลอดเวลา กว่า ๒๐๐ ปีที่ผ่านไปนั้นดังนั้นทางกรุงอังวะจึงได้จัดขุนพลผู้เคร่งประเพณีคือโป่มะยุง่วน หรือ ชาวพื้นเมืองเรียกว่า โป่หัวขาว ด้วยที่มักจะใช้ผ้าสีขาวโพกหัวอยู่ตลอดเวลาเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๒เมื่อโป่มะยุง่วนเข้ามาสู่เมืองแม่ของชาวล้านนาคือเมืองเชียงใหม่แล้ว ก็เริ่มตั้งกฎระเบียบการปกครองต่างๆ ให้ชาวพื้นเมืองทำตาม เช่น ให้ชายชาวพื้นเมืองทุกคนสักขาด้วยหมึกสีดำเหมือนกับชายชาวม่าน (พม่า) กระทำกัน ส่วนผู้หญิงก็ให้ขวากรูหูให้ใหญ่ใส่ตุ้มหูสอดแบบหญิงชาวพม่าเหมือนกันหมดตั้งแต่รุ่นสาวขึ้นไปถึงแก่ วัดวาอารามทั้งสร้างเก่าใหม่ก็ให้นำรูปหงส์ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของกรุงอังวะ
ผู้คนส่วนหนึ่งมุ่งมาสู่บ้านท่าเดื่อแห่งนี้พร้อมกับสร้างกุฏิหลังน้อย (คงจะเป็นการก่อสร้างที่ใช้ไม้ที่มีอยู่ตามละแวกนั้น) เพื่อถวายและมอบให้พี่น้องชาวบ้านท่าเดื่อ ได้บำเพ็ญกุศลด้วยสถานะที่อันพอจะเรียกได้เต็มปากว่า “เป็นวัด” (ด้วยมีพระประธานองค์ใหญ่ที่ผู้ใจบุญกลุ่มนั้นออกทุนปั้นให้พร้อมกับสร้างอุโบสถ์มุงหลังคาคุมแดดคุมฝนได้ดีกว่าแต่ก่อนๆ มา) และเรียกว่า “วัดท่าเดื่อ” นับแต่นั้นมา ประวัติก่อนที่เป็น “วัดแม่ฮ้อยเงิน” นั้นในหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลผ่านสองสายคือสายหน้าวัด และหลังวัด ตรงกลางเป็นที่เนินสูงสร้างเป็นวัดท่าเดื่อ มีเรื่องเล่าว่ามีพระยาเมืองได้เลี้ยงช้างและปล่อยช้างออกกินมาเรื่อยๆ จนไปกินพืชผลของชาวบ้านๆ ก็พากันล้อมจับช้าง แล้วเรียกร้องค่าเสียหาเป็นเงิน พระยาเมืองก็ได้เอา “เงินฮ้อย” จ่ายเป็นค่าเสียหาย ตั้งแต่นั้นมาก็เรียกว่าแม่ฮ้อยเงิน (วัดแม่ฮ้อยเงิน) เป็นต้นมา และสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
• ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 1 เดือน มกราคม พ.ศ. 2516