วัดอินทาราม เดิมชื่อว่าวัดขี้เหล็กหลวง เป็นวัดในชุมชนไทขึนดั้งเดิมที่อพยพมาจากเชียงตุง ประเทศเมียนมาร์ วัดนี้แต่เดิมทรงสร้างโดยพระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงค์ เจ้าหลวงผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๖ ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๐ (ห่างจากวัดปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๑๐๐ เมตร) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าหลวงผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ได้ทรงมาทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ วัดได้ถูกน้ำเซาะตลิ่งพังทลายลงเกินความสามารถที่จะรักษาไว้ได้ จึงได้ย้ายมาก่อสร้างในที่วัดปัจจุบัน พ.ศ.๒๔๘๖ กรมการศาสนาได้เปลี่ยนแปลงชื่อวัดเพื่อความเหมาะสม โดยที่คณะสงฆ์และคณะศรัทธาชาวบ้านได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติพระเจ้าอินทวิชยานนท์และพระราชชายาเจ้าดารารัศมีพระราชธิดาที่ทรงอุปถัมภ์วัดเสมอมา โดยใช้พระนามของพระเจ้าอินทวิชยานนท์เป็นชื่อของวัด จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดอินทาราม”จนถึงปัจจุบัน วัดอินทารามได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐
• ได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัด พ.ศ. 2340
• ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2490
ตำนานไม้ขี้เหล็กหลวง
ความปรากฏในตำนานพระนอนขอนม่วงของวัดพระนอนอำเภอแม่ริม ได้กล่าวตำนานของขี้เหล็กหลวงไว้ว่า
“ ในสมัยเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมพระอานนท์พุทธอุปฐากจากถ้ำเชียงดาว ทรงหันพระพักตร์กลับแล้วมีพระดำรัสกับพระอานนท์เถระว่า “ดูกรอานนท์ ดอยชันสูงยิ่งนักนี้ เป็นดังจักเพียงดาว ภายหน้านับหมื่นจักได้ชื่อว่า เมืองเพียงดาวชะแล เมื่อภายลูนแถมเล่า คนทั้งหลายจักเรียกเมืองเชียงดาว ว่าอั้นชะแล แล้วพระพุทธเจ้าก็หันพระพักตร์ไปทางหนใต้ทรงดำเนินล่องมาตามริมขอบฝั่งน้ำแม่ระมิงค์ (น้ำแม่ปิง) ยังมีไม้ขี้เหล็กต้นหนึ่งมีร่มอันกว้างขวางควรละเมาเอาใจยิ่งนัก (ควรเป็นสถานรื่นรมย์ใจ) พระพุทธเจ้าก็เลยเสด็จเข้าไปพักอยู่ในใต้ร่มไม้นั้นสักครู่หนึ่งพอทรงหายเหนื่อยแล้ว มีพระดำรัสกับพระอานนท์ว่า “ ดูกรอานนท์ กาลภายหน้าฐานะนี้จักได้ชื่อว่าขี้เหล็กร่มหลวงว่าอั้นชะแล “ ต่อจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปสู่ดอยสี่เหลี่ยมถึงแม่น้ำน้อยอันหนึ่ง ชื่อว่าแม่น้ำชะเหยือง หรือแม่น้ำชะเลืองในปัจจุบัน แล้วก็เสด็จประทับนอนอยู่เหนือขอนไม้ม่วงต้นหนึ่ง ซึ่งล้มลงมานานแล้ว ตอนนี้จะได้ทรงประดิษฐานพระบรมธาตุ เพื่อเป็นต้นเค้าการก่อสร้างพระพุทธรูปนอน(ปางสีหไสยาสน์)ที่วัดพระนอน(ขอม่วง) ดังนี้”(ผู้ประสงค์จะทราบความโดยละเอียดเรื่องการสร้างพระนอน ขอให้ดูตำนานพระนอน )
ตามบันทึกของพระเทพสิทธาจารย์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าอาวาสวัดสำเภา ในขณะที่ท่านยังคงดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวุฑฒิคุณ ท่านได้บันทึกตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ไว้ว่า
“ จากตำนานพระนอนวัดพระนอนขอนม่วงนั้น ที่เกิดไม้ขี้เหล็กหลวงในอดีตนั้น ปัจจุบันคือ บ้านขี้เหล็กหลวง หมู่ที่ ๖ ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นั้นเอง เพราะมีประวัติความเป็นมาใกล้ชิดติดต่อกันกับการสืบถาม และความทรงจำของผู้บอกเล่าสืบต่อการเป็นลำดับ ซึ่งผู้เขียนก็สนใจเรื่องไม้ขี้เหล็กหลวงนี้มานาน นับตั้งแต่ยังเป็นสามเณรแล้ว เดินอยู่วัดขี้เหล็กน้อย ห่างจากบ้านขี้เหล็กหลวงลงมาทางทิศใต้ประมาณ ๒ กิโลเมตร ทั้งถิ่นนี้ก็เป็นตำบลบ้านที่เกิดของผู้เขียนด้วย จึงมักจะได้ยินคำบอกเล่าเรื่องไม้ขี้เหล็กหลวงจากคนพื้นบ้านย่านนั้นอยู่เสมอ และเคยได้สอบถามเรื่องราวของไม้ขี้เหล็กนั้นจากผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านขี้เหล็กหลวง และบ้านขี้เหล็กน้อยทั้งสองบ้าน กระทั่งปู่ของผู้เขียนก็เคยเล่าให้ฟัง ซึ่งเนื้อความก็สอดคล้องกันตามที่บุรพชนได้เล่าสืบต่อกันมาว่า มีไม้ขี้เหล็กที่มีต้นขนาดใหญ่เป็นพิเศษเกิดขึ้นที่บ้านขี้เหล็กหลวง มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปเป็นมณฑลกว้างขวางใหญ่โตมาก แต่จะใหญ่โตขนาดไหนไม่ได้บอกขนาดไว้ชัดเจนเป็นแต่บอกเพียงความหมายไว้เป็นชื่อของบ้านนั้น ก็คงจะถือเอาไม้ขี้เหล็กหลวงต้นนั้นเป็นบุพพนิมิต บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่า “บ้านขี้เหล็กหลวง” ตั้งแต่นั้นมาและว่ากันว่า เมื่อเวลาตะวันบ่ายไป เงาไม้ต้นนั้นได้เอื้อมร่มไปถึงบ้านร่มหลวง อำเภอสันทราย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำปิง ห่างจากบ้านขี้เหล็กหลวงไปประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ บ้านนั้นจึงได้นามว่า “บ้านร่มหลวง” มานับจนบัดนี้และเงาไม้นั้นเอื้อมลงมาไม่ถึงบ้านขี้เหล็กน้อยอยู่หน่อยหนึ่ง จึงได้ขนานนามบ้านนั้นว่าบ้านขี้เหล็กน้อยแต่เดิมมาจนทุกวันนี้” “เหตุที่ต้องตัดล้มไม้ขี้เหล็กหลวงต้นนั้น ได้เล่าต่อๆ กันมาว่า เนื่องจากเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่โตมาก ชาวบ้านกลัวว่า นกหัสดีลิงค์ (นกอินทรีย์ยักษ์) จะมาจับเอาชาวบ้านกินเป็นอาหาร จะเป็นอันตรายต่อชาวบ้าน เพราะเชื่อกันว่านกนั้นกินคนเป็นอาหาร ส่วนการล้มต้นไม้นั้นได้จ้างฮ่อ (จีนฮ่อ)จำนวนหนึ่งร้อยคนมาเป็นผู้ทำการตัดล้ม และเมื่อตัดไม้ขี้เหล็กหลวงลงแล้ว ชาวบ้านเทียบดูความใหญ่ของไม้ไว้โดยจัดเอาขันโตกแดงชนิดเล็กพื้นเมือง (ขันโตกดินเนอร์)จำนวน ๑๐๐ ใบขึ้นไปตั้งบนตอไม้นั้นก็เต็มพอดี ดังนั้นก็เป็นอันส่อให้รู้ว่าต้นไม้นั้นใหญ่โตเป็นพิเศษ สมกับที่กล่าวไว้ในตำนานพระนอน และคำเล่าลือกันมาแต่ก่อน อนึ่งเกี่ยวกับบริเวณสถานที่เกิดของไม้ขี้เหล็กหลวงต้นนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าให้ฟังว่า ลำน้ำปิงตรงกับบ้านขี้เหล็กหลวงปัจจุบันนี้ สมัยก่อนเป็นที่ราบสูงธรรมดา ซึ่งแม่น้ำปิงไม่ได่ไหลผ่านมาทางนั้น เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านและวัดขี้เหล็กหลวงเดิม ซึ่งพระกาวิโลรสสุริยวงค์ กษัตริย์นครเชียงใหม่สมัยหนึ่งได้เสด็จไปทรงสร้างวัดขี้เหล็กขึ้น ณ ที่นั้นนับแต่ปีที่สร้างวัดมาประมาณ ๒๐๐ ปี ครั้งต่อมาแม่น้ำปิงได้เซาะฝั่งมาเป็นลำดับ จนเนื้อที่บ้าน และวัดได้พังทลายลงกลายเป็นแม่น้ำปิงเวลานี้ พระพุทธรูปทองคำของวัด ได้ถูกน้ำพัดจมหายลงในน้ำเป็นจำนวนหลายสิบองค์ คงเหลือแต่วิหาร ชาวบ้านในคราวนั้นจึงได้ช่วยกันรื้อ และขนย้าย เครื่องตัวไม้วิหารมาตั้งวัดใหม่อยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำปิง ซึ่งก็คือที่ตั้งขอวัดอินทรารามปัจจุบันนี้นั้นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้เปลี่ยน ชื่อจากวัดขี้เหล็กหลวงมาเป็น “วัดอินทราราม” ตามรัฐนิยมในสมัยนั้น เสาวิหาร ที่พระเจ้าอินทวิชชยานนท์ ทรงสร้างไว้เป็นลายรดน้ำโบราญที่วิจิตรงดงามยังได้รักษานำมาตัดตีนที่ผุ เสริมสร้างเป็นเสาวิหารหลังปัจจุบันทุกเล่ม ส่วนบริเวณแม่น้ำปิงเก่า ซึ่งแม่น้ำปิงได้เปลี่ยน กระแสมาเดินทางใหม่ดังกล่าวแล้ว ที่เดิมนั้นก็กลายเป็นหาดทรายเขินตื้นขึ้นเป็นเกาะ มีเนื้อที่กว้างใหญ่ติดกับฝั่งแม่น้ำปิงตะวันออกบ้านขี้เหล็กหลวงอยู่ในขณะนี้ เป็นที่ทำไร่ทำส่วนของชาวบ้าน จนกลายเป็นที่บ้านของราษฎรไป ซึ่งเวลานี้เรียกกันว่า บ้านเกาะขี้เหล็ก หรือบ้านเกาะร่มหลวง โดยสันนิษฐานกันว่าบริเวณที่นั้นเป็นที่เกิดขึ้นของต้นไม้ขี้เหล็กหลวงโดยประการฉะนี้แลฯ
( ข้อสัณนิษฐานประกอบ ) “ จากการฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่และการหาเหตุผลมารองรับ สาเหตุที่ต้นไม้ขี้เหล็กหลวงต้องถูกโค่นลงนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากที่ ต้นไม้ขนาดใหญ่นี้มีความสูง จึงเป็นดังป้อมดูลาดเลากองทัพสมัยนั้น เนื่องจากมีความสูง จึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์การเดินทัพในระยะไกลได้ เป็นเหตุให้นครเชียงใหม่สามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพของข้าศึกได้ดี จึงทำให้กองทัพข้าศึก (พม่าหรือม่าน) ได้ออกอุบายให้คนมาปล่อยข่าวให้ชาวบ้านเกิดความกลัวเรื่องนกหัสดีลิงค์ (ซึ่งในสมัยนั้นเข้าใจว่า คงจะมีนกนานาพันธ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่นนกเค้าแมว นกเค้าช้าง นกแร้ง เป็นต้น มาอาศัยอยู่มาก หรืออาจจะมีนกที่มีขนาดใหญ่กว่านกที่กล่าวมา มาอาศัยอยู่ กอปรกับความเชื่อดั้งเดิมเรื่องนกหัสดีลิงค์ตามตำนานคัมภีร์ธรรมโบราณ มีอยู่แล้ว ทำให้ชาวบ้านเกิดความกลัวยิ่งขึ้น จึงเป็นสาเหตุของการโค่นต้นไม้ขี้เหล็กหลวงลง ดังกล่าว” และก็ไม่อาจจะระบุตำแหน่งของต้นไม้ขี้เหล็กหลวงได้ว่ารากต้น เดิมอยู่ตรงจุดใดของหมู่บ้าน