ประวัติความเป็นมาของวัดทาดอยคำ
ตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน
**************************************************************
ในปรางเมื่อพระแม่เจ้าจามเทวี ครองเมือง ลั๊วปูน ( ลำพูน) พระนางมีสิริโฉมงามมาก ทำให้พระยาขุนมิลังคะมีสารมาสู่ขอพระนางไปเป็นมเหสี พระนางไม่ยอมตกลงทำให้พระยาขุนมิลังคะไม่พอใจ จึงทำอุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะเอาชนะพระนาง จึงประกาศไว้ว่า ถ้าหากพุ่งเสน้า (แหลม คืออาวุธชนิดหนึ่งมีด้ามยาว ๆ ปลายแหลมและคมมาก) มาตกลงกลางเมือง พระนางถึงจะยอมเป็นมเหสี แต่พระนางรู้ว่าพระยาขุนหลวงมิลังคะมีอิทธิฤทธิ์เก่งกล้ามาก จึงออกอุบายจัดหาหมากเมี้ยง ( คือพืชชนิดหนึ่งนำมาหมักและกินได้ คนเมืองเหนือจะกินหลังจากรับประทานอาหาร บุหรี่) และนำหมวกมาให้ใส่ก่อนที่จะพุ่งแหลม เมื่อพระยาขุนหลวงมิลังคะทานหมากเมี้ยงและบุหรีและสวมหมวกที่พระนางจัดไว้ให้ อิทธิฤทธิ์ก็เสื่อมลง พระยาขุนหลวงมิลังคะขึ้นไปอยู่บนยอดยอดสุเทพแล้วพุ่งลงมา ปรากฏว่าแหลมไม่ได้ตกตรงกลางเมืองแหลมพุ่งปักลงดินระเบิดเป็นวงกว้าง จึงเรียกที่นั้น หนองเสน้า (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมืองลำพูน) ดังนั้น พระนางจามเทวี จึงไม่ได้ตกเป็นมเหสีของพระยาขุนหลวงมิลังคะ
พระนางจามเทวีจึงได้พำนักอยู่ในพระราชวัง และได้เห็นฟาน (เก้ง ) มีขนสีทอง ซึ่งเก่งมาจากพญาเม็งราย หลงเดินเข้ามาในเมือง ผ่านหน้าพระพักตร์ของพระนาง พระนางอยากได้เก้งตัวนั้น จึงบอกให้เสนาอำมาตย์จับเก้งตัวนั้นไว้ เก้งจึงกระโดดหนีไปหลบอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศใต้ ( ปัจจุบัน เรียกที่นั้นว่า ประตูลี้ ) เก้งได้วิ่งหนีมาหลบอีกที่หนึ่ง ซึ่งลักษณะเป็น สันดอน พวกเสนาทหารก็พากันมาล้อมจับเก้งที่นั่น จึงเรียกที่นั่นว่า สันดอนล้อม ปัจจุบัน คือหมู่บ้านสันดอนลอม
พวกทหารติดตามมาได้สักพักหนึ่งจึงหยุดปรึกษากัน และได้ตัดต้นไม้มาต้นหนึ่ง ยาว 24 ศอก เอาผ้าสีชมพูผูกไว้เป็นเครื่องหมาย ไม่ให้หลงทาง จึงเรียกที่นั่นว่า สันต้นธง เป็นหมู่บ้านในปัจจุบัน และเก้งจึงวิ่งไปหลบอยู่ที่ใต้ต้นไม้โพธิ์ ซึ่งมีกิ่งย้อย ปัจจุบัน คือ บ้านศรีย้อย เก้งได้วิ่งข้ามแม่น้ำใหญ่ไป เหล่าทหารเห็นดังนั้น จะข้ามน้ำตามเก้งไป จึงได้ใช้เชือกและเถาวัลย์มาผูกข้ามลำน้ำใหญ่นั้นไป เรียกที่นั่นว่า ท่าจั๊ก ปัจจุบันคือ ท่าจักร
เมื่อเดินทางข้ามแม่น้ำมาจึงมาพบหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีเต่าเต็มไปหมด เรียกที่นั่นว่าบ้านหนองแห่ง เดินทางต่อมาอีกสักระยะหนึ่ง เสบียงอาหารที่นำติดตัวได้หมดลงจึงเรียกที่นั่นว่า บ้านเสี้ยง ( ปัจจุบัน คือ บ้านเส้ง ) ทหารได้ติดตามรอยเท้าเก้ง พบคนแก่ คนหนึ่งจึงได้ถามว่าพบเก้งผ่านมาทางนี้หรือเปล่า คนแก่ได้บอกว่าเห็นเก้งเข้าไปในป่า ทหารจึงตัดไม้มาล้อมรั้ว ยิงปืนให้เกิดเสียงด้งกึกก้องจึงเรียกที่นั่นว่า บ้านก้อง เก้งได้ยินเสียงปืน ตกใจวิ่งหนีออกมา ทหารคนหนึ่งสามารถจับเก้งได้ จึงเรียกที่นั่นว่า บ้านปู่จั้ว (ปัจจุบันคือ หมู่บ้านบูชา) แต่เก้งสามารถดิ้นหลุดและหนีออกได้อีก ทหารได้ติดตามเก้ง ตัวนั้น พบคนแก่อีก จึงถามหาเก้งอีก คนแก่ตอบว่า เห็นเก้งซึ่งมีลักษณะ หลังแป้น จึงเรียกที่นั่นว่า บ้านแป้น ตามเก้งมาอีกนิดหนึ่ง ทหารเห็นเก้งวิ่งไปจึงยกมือชี้นิ้ว เรียกที่นั่นว่า บ้านเหมืองจี้ จึงตามเก้งมาติดๆ แต่ก็ตามไม่ทันเก้ง เรียกที่นั่นว่า บ้านป่าตัน ทหารจึงติดตามไม่ลดละจนมาพบหมูป่าตัวหนึ่ง หมูป่าเห็นผู้คนจำนวนมากก็ตกใจ วิ่งหนีขึ้นเขาลูกหนึ่ง เรียกที่นั่นว่า หมูเวิ้ง ปัจจุบันคือ บ้านหมูเปิ้ง ทหารได้ติดตาม จนมาถึงที่หนึ่งลักษณะคับแคบมากมีทางเดินเล็ก ๆ เดินลำบากมากจึงเรียกที่นั่นว่า บ้านฝั่งหมิ่น เก้งได้ข้ามแม่น้ำอีกสายหนึ่ง เรียกว่า (น้ำแม่ถ้า) ปัจจุบันคือ แม่น้ำทา เก้งได้วิ่งมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีลำห้วยเล็กๆ ทหารจึงเอาปืนมาแจกจ่ายกันเรียกที่นั่นว่า ห้วยปันปืน ปัจจุบันอยู่ใน ตำบลทาขุนเงิน
ทหารติดตามมาหลายคืนหลายวัน มาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง จึงหยุดพัก เพราะรู้สึกปวดเมื่อย จึงเรียกว่า แม่น้ำเม่ย ปัจจุบันคือ แม่น้ำเมย จึงได้เดินทางต่อไปอีกถึงเนินสัน แห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาถึงสว่างพอดี ที่นั่น จึงเรียกว่า สันจอมแจ้ง ปัจจุบันคือ บ้านสวนหลวง เมื่อเดินทางมาอีกระยะหนึ่งจึงได้วางหาบข้าวของสัมภาระทั้งหมด ที่นั่นจึงเรียกว่า บ้านป๋ง ปัจจุบันคือ บ้านปง ทหารได้แยกเป็น 2 กลุ่มติดตาม กลุ่มที่หนึ่งเดินตามฝั่งแม่น้ำ เรียนกว่า แม่น้ำขนาด
อีกกลุ่มได้เดินข้ามแม่น้ำและได้ขึ้นทาดอน และได้เห็นแต่หน้าเก้ง ที่นั่น จึงเรียกว่า แท่นหน้าพ่าน ปัจจุบันเรียก ทุ่งหน้าฟาน เก้งได้กระโดดหนีมาอยู่ ด้านทิศตะวันตกของเขาลูกนี้ จึงสร้างวิหารไว้หลังหนึ่ง ปลูกต้นมะขามไว้หนึ่งต้นเรียกที่นั่นว่า วัดน้อย (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) เมื่อหมู่เสนาอำมาตย์มาพบกันขึ้นมาเขาลูกนี้อีกหมู่หนึ่งบอกว่าขึ้นมาเขาลูกนี้ จึงเกิดการสาบานกันที่นั่นเรียกว่า ทุ่งสบด จนถึงปัจจุบัน และเก้งตัวนั้นได้ขึ้นมาบนเขาลูกนี้ เข้าในถ้ำเมื่อจับถูกต้องตัวเก้งเป็นที่อัศจรรย์เก้งจึงกลายหินสีทอง พระนางเจ้าจามเทวีจึงรวบรวมเสนาอำมาตย์ พร้อมก่อสร้างเจดีย์ครอบไว้ ปลูกต้นไม้อันเป็นมงคลไว้ 3 ต้น ต้นมะขามด้านทิศใต้ ต้นพิกุลอยู่ด้านทิศเหนือ ต้นสารภี อยู่ทางทิศตะวันออกเดิมเรียนชื่อ วัดดอยขำ หรือ สุวรรณบรรพต ปัจจุบันวัดดอยคำ เป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกัน
• ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 26 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2534
1. พระธาตุเจดีย์ สมัยพระนางจามเทวี
2. ต้นพิกุุล (ดอกแก้ว)
3. ต้นมะขาม สมัยพระนางจามเทวี
4. ซุ้มพระพุทธรูป 1000 กว่าปี
5. กำแพงหิน