ก่อนที่จะก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นนั้นได้มีพวกชาวเชียงแสนทางเหนือ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ชาวโยนก" และบางส่วนได้มีพวกชาวจีนได้ทำการอพยพจากตอนเหนือของประเทศ ล่องแพหรือล่องมาตามแม่น้ำวังมา และหลังจากนั้นก็ได้มาพักพิงอาศัยอยู่ตามป่าเขา ณ บ้านป่าตาล ในปัจจุบัน แต่จำนวนผู้คนในสมัยนั้นยังมีไม่มากพอ เมื่อพักอาศัยได้สักระยะก็ได้ย้ายถิ่นฐานเพื่อหาที่ทำมาหากิน ขณะนั้นเองเห็นว่าบริเวณใกล้แม่น้ำวัง เป็นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร จึงยึดสถานที่นี้เป็นที่พักอาศัยแบบถาวรไม่คิดแยกย้ายไปที่ไหนอีกเลย ต่อมาได้ขยายครอบครัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านรอมแรตหรือร่องแรต จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๐๒๕ ในสมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงพร้อมใจกันสร้างที่พักพิงอาศัยทางใจคือที่พักสงฆ์ครั้งแรก เรียกว่า รอมแรต หรือ ร่องแรต หมายถึง เป็นที่ผ่านและอาศัยของพวกหมู่แรด เพราะบริเวณนี้เป็นสถานที่ป่ารก และอุมดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร จึงเป็นที่อยู่ของพวกสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นมีฐานะลำบากและยากจน จึงไม่สามารถสร้างเป็นวัดที่ถูกต้องได้ เป็นสถานที่เฉพาะที่พักสงฆ์เท่านั้น โดยชาวบ้านโยนก(เชียงแสน) ได้พร้อมใจกันก่อสร้าง ซุ้มประตูโขง แปลว่า ด่านเข้าออก ปัจจุบันอยู่หน้าวิหาร ในปีพุทธศักราช ๒๓๓๖ จุลศักราชได้ ๑๑๕๕ ในปี รวายสีวันเพ็ญเดือนยี่เป็ง ในสมัยราชวงศ์จักรี
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้มีศรัทธาพ่อเมืองแสนคำ และครอบครัว เป็นประธานในการสร้างวัดลงรักปิดทอง มหาอารามหลวงวัดหลวงลอมแรต ถัดนั้นไปหมายมี หัวสิบนายคำหน้อย (ลุงอ้าย) พร้อมครอบครัว ถัดนั้น หมายมีขนานอุปปละมหามูลศรัทธาพร้อม และลูกเต้าทุกคนได้พร้อมกันสร้าง โดยมีพ่อเมืองแสนคำพร้อมด้วยภริยา บริจาคเป็นเงินตำลึง ๓ บาท ลุงอ้าย บริจาค ๒ สลึง มหามูลศรัทธาบริจาครวมกัน ๑๖ สลึง รวมในการก่อสร้างวัดครั้งแรก (วิหาร,อุโบสถ) เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๖ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง
ในปีพุทธศักราช ๒๓๓๗ จุลศักราชได้ ๑๑๕๘ ในปีรวายสี ได้พร้อมเพรียงกันถวายกัณฑ์เทศน์ธรรม ๒ กัณฑ์ ได้แก่ มหานารทชาดร ๑ ผูก และวิธูร-บัณฑิตชาดร ๒ ผูก และได้เบิกบานฉลองทานใหญ่ ในวันเดือนยี่เป็ง (งานประจำปี) บันทึกอยู่ในแผ่นหินทรายจารึก ๒ ด้าน ด้านตัวอักษร ฝักขาม ตัวเลข ธรรม ภาษา ไทยวน (ปัจจุบันหลักฐานทั้งหมดยังมีอยู่) โดยได้ลงรักหางคำ ปิดทอง ทารักทาหางติดคำ ประดับประดาแล้วปริมวลพร้อมกับด้วยอันเบิกบานฉลองในพระพุทธศาสนาที่อาศัยใหม่ (พระอารามหลวง) อนุโมทนาแสดงความยินดี
การสร้างวิหารอุโบสถในครั้งนั้น จะออกแบบสร้างโดยช่างฝีมือของชาวเชียงแสนทั้งหมดเลย โดยตัวหลังคาตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่างจะใช้แทนฝาผนัง เพื่อกันแดดกันฝนไปในตัว และการจัดเขตในสมัยนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑.เขตพุทธวาส ๒.เขตธรรมมาวาส ๓.เขตสังฆาวาส ปี พ.ศ.๒๓๗๕ ในรัชกาลที่ ๓ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๕ เมตร ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ในรัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนจาก วัดหลวงลอมแรต มาเป็น วัดฮ่อมแฮต ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ในรัชกาลที่ ๘ เป็น "วัดล้อมแรด" จนถึงปัจจุบัน โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัดถูกต้องตามกฎหมายและสมบูรณ์แบบ
ในปัจจบันได้มีการบูรณะเพิ่มเติม วิหาร อุโบสถ และ ซุ้มประตูโขงที่ชำรุดเสียหาย จากกาลเวลาอยู่หลายครั้ง จนในปัจจุบัน วัดล้อมแรด เป็นวัดที่เป็นจุดศูนย์กลางของพุทธศาสนิกชนภาย อำเภอเถิน และ อำเภอใกล้เคียง โดยวัดล้อมแรดได้สนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ประเพณีวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นอยู่อย่างสม่ำเสมอ อาทิเช่น
- ทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งในวันขึ้นปีใหม่ วันสำคัญทางนักขัตฤกษ์ และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
- ประเพณีสลากภัตต์
- การบวชภาคฤดูร้อน
- ประเพณีหล่อเทียนพรรษา
- ประเพณีลอยกระทง
- ประเพณีสรงน้ำพระ และถวายเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์
- การเทศน์มหาชาติ (เดือน ๖ เหนือ)
- เข้ากรรมรุกขมูํล (ปฏิบัติธรรม) เป็นประจำทุกปี และอื่นๆ
• ได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัด พ.ศ. 2322
• ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2375
• วัดพัฒนาดีเด่น เมื่อวันที่ 30 เดือน กันยายน พ.ศ. 2551
• วัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อวันที่ 29 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2547
• วัดอุทยานการศึกษา เมื่อวันที่ 15 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2542