หัวข้อ "ศาสนาพุทธ"
เมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ 21 เดือน เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 14:15:01, ผู้เข้าชม 2384 ท่าน
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงปฐมเทศนาหรือเทศน์
ครั้งแรก เมื่อก่อนพุทธศักราช 45 ปี ณ ชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบันคือ อินเดีย
เนปาล และปากีสถาน โดยพระองค์ท่านประสูติก่อนพระพุทธศาสนา 80
ปี และท่านมีพระนามว่า “พระโคดมพุทธเจ้า” หรือสิทธัตถโคตมะ
การที่ท่านคิดหลักธรรมขึ้นมาก็เพื่อเป็นการปฏิรูปแนวคิด ความเชื่อ
ของชาวชมพูทวีป ในสมัยนั้นให้ดียิ่งขึ้น
หลักธรรมที่ทรงแสดงถึงนั้นปรากฏว่าเป็นสัจธรรมและเป็นสากล
สามารถนำไปใช้บุคคลทุกวรรณะ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกยุค และทุกประเทศ
ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่มีธรรมเป็นเครื่องครองชีพและครองโลก
เป็นศาสตร์ที่รวมแห่งศาสตร์ทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นศาสตร์แขนงใด
เริ่มตั้งแต่เคหศาสตร์อันเป็นศาสตร์สำหรับผู้ครองเรือน
สรีรศาสตร์อันเป็นศาสตร์สำหรับครองกาย
จิตศาสตร์อันเป็นศาสตร์สำหรับครองจิตใจ
วิทยาศาสตร์ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับผู้ต้องการเอาชนะธรรมชาติก็รวมอยู่
ในพุทธศาสนาทั้งสิ้น
พวงผกา คุโรวาท (2539, น. 201) ได้อธิบายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนา ดังนี้
ประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
มีแคว้นของชนเผ่าอริกะหรืออารยันแคว้นหนึ่งในตอนเหนือของประเทศอินเดีย
แถบกลุ่มแม่น้ำคงคา ส่วนทางภาคตะวันออกเป็นแคว้นสักกะ
ราชธานีชื่อกบิลพัสดุ์ (อยู่ระหว่างเมืองอาลาหะบัดกับเมืองปัตนะในปัจจุบัน)
พระราชาผู้ครองแคว้นทางพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ และพระมเหสีทรงพระนามว่า
พระนางมหามายา ประมาณ 584 ก่อนคริสต์ศักราช หรือ 80 ปีก่อนพุทธศักราช
ในวันเพ็ญ เดือนหก พระนางมหามายาได้ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง
ทรงพระนามว่าเจ้าชายสิทธธัตถะ ราชสกุลของพระองค์คือศากยะ
ส่วนโคตมะเป็นชื่อของราชวงค์ พระกุมารนี้คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือพระสมณโคดมพุทธเจ้า
(พระองค์ท่านสำเร็จการศึกษาจากสำนักอาจารย์วิศวามิตร)
ผู้เป็นศาสนาของพุทธศาสนา
ซึ่งในกาลต่อมาได้กลายเป็นที่นับถือของประชาชนถึงหนึ่งในสามของโลก
เมื่อพระเจ้าสิทธัตถะทรงพระเจริยวัยขึ้น
ก็สนพระทัยครุ่นคิดแต่ปัญหาชีวิตของคนทุกคน
ต่อมาเองทรงเสกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา แล้วประสูติพระโอรสชื่อราหุล
เจ้าชายสิทธัตถะก็ยิ่งทรงเห็นโลกมีแต่ความทุกข์
อันเป็นห่วงผูกคอคล้องมนุษย์ให้เกี่ยวข้องอยู่แต่ในโลกีวิสัย ทำให้เกิดรัก
โกรธ โลภหลง จนมนุษย์ขาดการพิจารณาเหตุผล บางครั้งถึงกับขาดเมตตาจิตต่อกัน
จึงทรงหาทางดับทุกข์ เสด็จหนีจากราชสมบัติออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุได้ 29
พรรษา
และเสด็จท่องเที่ยวไปตามแคว้นใกล้เคียงศึกษาธรรมเพื่อแก้ทุกข์ตามสำนักลัทธิ
มีมากมายในขณะนั้น และส่วนใหญ่ก็เป็นลัทธิต่างๆ
ที่สืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์
ทรงอดทนทรมานพระวรกายอยู่ตามสำนักอาจารย์และป่าดงเป็นเวลา 6 ปี
จนพระชนมายุได้ 35 จึงทรงพบทางแก้ทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง
และทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ตำบลอุรุเวฬาเสนานิคม
(หรือพุทธคยาในปัจจุบัน) อันอยู่ในแคว้นมคธ ห่างจากกรุงราชคฤห์ประมาณ 300
ไมล์
เมื่อตรัสรู้แล้วก็เสด็จเผยแพร่พระธรรมยังแคว้นมคธและแคว้นใกล้เคียง
แล้วเสด็จสู่แคว้นสักกะโปรดพระพุทธบิดา มารดา พระมเหสี และศากยราชสกุล
ประชาชนทุกชั้นวรรณะ ซึ่งก็มีผู้เลื่อมใสเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งจตุบริษัทมีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
และทรงประกาศศาสนาร่วมกับพระสาวกอยู่ได้ 45 ปี
ก็เสด็จปรินิพพานเมื่อพระชนมายได้ 80 พรรษา ณ เมืองกุสินารา
เอกสารอ้างอิง : พวงผกา คุโรวาท. (2539). ศิลปะและวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น(1977) จำกัด.